คนไทยหรือเปล่ากับร้านอาหารริมน้ำ
เราทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ต่อให้ไม่รู้กฎหมายแต่ต้องมีจิตสำนึก หากกระทำสิ่งใดแล้วจะส่งผลกระทบถึงผู้อื่นก็ไม่ควรทำ จะมาอ้างไม่รู้กฎหมายได้ไง
ผู้เข้าชมรวม
377
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
21.18น
1 สิงหาคม 2552
วันนี้น้องตั้งมีโอกาสได้เปลี่ยนบรรยากาศไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน ที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีชื่อเสียที่สุดร้านหนึ่งของจงหวัดพระนครศรีอยุธยา
ความสุขที่ได้รับประทานอาหารพร้อมหน้ากันของครอบครัวกลับถูกรบกวนด้วยคนเพียงไม่กี่คนที่ทำผิดกฎหมายโดยไม่มีจิตสำนึก
เนื่องจากเป็นร้านอาหารริมแม่น้ำจึงมีลมธรรมชาติพัดโชยตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่มีพวกไร้จิตสำนึกพวกนั้นบรรยากาศคงจะดีมาก
แต่เมื่อคนพวกนั้นนั่งสูบบุหรี่ บรรยากาศอันน่ารื่นรมกลับพังทลาย
น้องตั้งพยายามจะไม่สนใจ เพราะใครๆก็ไม่สนใจ แต่น้องตั้งก็ทนไม่ได้ น้องตั้งสงสัยมากว่า
“ทำไม่คนเกือบร้อยคน ต้องยอมให้คนเพียงสองสามคนมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้โดยไม่มีใครลุกขึ้นมาทำออะไรซักอย่าง”
น้องตั้งคิดจะลุกไปต่อว่าแต่เห็นว่าควรให้ทางร้านเป็นฝ่ายจัดการดีกว่าจึงไปขอพบเจ้าของร้าน แต่พนักงานกลับบอกให้น้องตั้งย้ายโต๊ะ
“แล้วน้องตั้งทำผิดอะไรถึงต้องเป็นฝ่ายหนี แล้วที่นั่นร้านริมน้ำนะ จะให้น้องตั้งไปนั่งหลบอยู่ในหลืบได้ไง”
เมื่อไม่มีใครแก้ปัญหาให้ได้
“งั้นน้องตั้งลุยเอง”
น้องตั้งลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนบอกกับทุกคนในร้านว่า ที่นี่เป็นเขตปลอดบุหรี่ให้เลิกสูบด้วย
ได้รับการตอบรับดีมากจากคนที่มียางอายอยู่บ้าง แต่...
มีโต๊ะหนึ่งยังคงสูบต่อ น้องตั้งกำลังคิดจะลุกไปโวยแต่น้องชายสุดที่รักชิงลุกไปซะก่อนแล้วสปีคอิงลิชไฟแลบ “อ้อเค้าเป็นคนต่างชาตินี่เอง
เรื่องราวควรจะจบลงแล้วแม้ว่าคนต่างชาติโต๊ะนั้นจะไม่เลิกสูบบุหรี่ก็ตาม
แต่น้องตั้งรับประทานไม่ลงแล้วพาทั้งบ้านเลิกกินหมด กับข้าวที่สั่งมาหกอย่างสั่งห่อกลับบ้านหมด
เรื่องควรจะจบใช่ม๊ะ แต่เปล่า คนต่างชาติคนนั้นเดินมาหาที่โต๊ะและพูดจาต่อว่าน้องชายสุดเลิฟของน้องตั้ง แล้วอย่างนี้จะยอมได้งัย
น้องตั้งโทรแจ้ง 191 เกือบสิบรอบจนอาหารที่ให้ห่อมาและเช็คบิลเสร็จแต่นั้องตั้งไม่ยอมแพ้
เราคนไทยเจ้าของประเทศจะปล่อยให้คนต่างชาตมาหยามได้ไง พวกมันบอกว่ามันเป็นลูกค้าของร้านเหมือนกันมันจะทำอะไรก็ได้
น้องตั้งให้พ่อขับรถไปสถานีตำรวจ ไปแจ้งความและขอให้ส่งสายตรวจไปที่ร้านด่วน
สายตรวจมาได้เร็วทันใจมากเสียแต่ว่ากลัวคนต่างชาติจนไม่กล้าพูดอะไรเลย
น้องตั้งพยายามบอกว่ามีคนที่พูดไทยได้ (ซึ่งน้องตั้งเพิ่งรู้ตอนเขาเดินมาต่อว่าที่โต๊ะแหละ)แต่ตำรวจก็ยังคงยืนดูปล่อยน้องตั้งกับน้องชายลุยเองและในที่สุดเจ้าของร้านที่น้องตั้งถามหาก็มาซะทีและออกโรงช่วยน้องตั้งต่อว่าพวกที่สูบบุหรี่ทันที
ไม่รู้เพราะทนไม่ได้ที่พวกนั้นก่อความรำคาญให้ลูกค้าคนอื่นหรือกลัวที่น้องตั้งประกาศจะเอาเรื่องเจ้าของร้านด้วยที่ปล่อยปละละเลยให้มีการสูบบุหรี่ในร้านซึ่งเป็นสถานที่สาธารณะตามกฎหมายต้องห้ามสูบบุหรี่
และเรื่องน่าสลดใจอีอย่างที่น้องตั้งได้พบเมื่อตามเจ้าหน้าที่ตำรวจไปที่ร้านนั้นอีครั้งคือ โต๊ะนั้นมีคนไทยอยู่ด้วย
ไอ้คนไม่รักชาติมันกลับพยายามเบี่ยงประเด็นว่าน้องชายของน้องตั้งทำไม่ถูกที่ไปโวยพวกเขา ตรงนี้แหละที่เจ้าของร้านออกมาช่วยโวยและยืนยันเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย (ซึ่งตำรวจยังคงแค่ยืนดู)
คนพวกนั้นจึงขอเช็คบิลจะกลับ แต่มีหรือน้องตั้งจะยอม
น้องตั้งบอกตำรวจว่าจะต้องให้พวกนี้ไปเสียค่าปรับให้ได้เพราะทำผิดกฎหมาย
คุณตำรวจเพิ่งทำหน้าที่ได้ดีก็ตอนนี้เองที่ยืนกรานให้พวกนั้นไปโรงพัก แม้ไอ้คนที่ไม่สมควรเป็นคนไทยคนนั้นจะพยายามเข้าไปขอเจรจาแต่สุดท้าย คุณตำรวจก็ขี่มอเตอร์ไซสายตรวจตามประกบพาไปโรงพักจนได้
จากตอนแรกน้องตั้งโกรธคนต่างชาติที่ไม่เคารพกฎหมายไทย ถึงขนาดท้าให้พาตำรวจมา(ซึ่งน้องตั้งก็รับคำท้า)
ตอนหลังน้องตั้งทั้งโกรธทั้งเกลียดไอ้คนเสียชาติเกิด
มันบอกว่าไม่รู้ว่าที่ร้านนั้นห้ามสูบบุหรี่
มันเป็นคนไทยเสียชาติเกิดจริงๆน้องตั้งไม่ได้พูดเกินจริงเลย
มันไม่รู้ได้ไงว่าร้านอาหารเป็นสถานที่สาธารณะที่หลายหน่วยงานรณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่ จนกระทั่งออกเป็นกฎหมายมาหลายปีแล้ว
เมื่อน้องตั้งอยู่รอจนเห็นกับตาว่าคนทำผิดได้เสียค่าปรับ 200 บาทไปแล้ว
ไอ้ทุเรศคนเดิมมันยังคงยืนยันอีกว่ามันไม่ผิด มันไม่รู้จริงๆ โอ๊ย ! บี๊ดเลย ว่าจะไม่ใช้อารมณ์ เพราะตั้งแต่แรกน้องตั้งข่มเอาไว้ตลอด
แต่มันยืนยันว่ามันไม่รู้ในสิ่งที่คนทั้งประเทศรู้ แถมยังคุยว่ารู้จักตำรวจที่โรงพักหลายคน
น้องตั้งเลยต้องถามมันว่า “คุณต้องรู้ว่าเค้าห้ามสูบบุหรี่ และก็ต้องรู้ตั้งแต่ฉันตะโกนครั้งแรกแล้ว คุณปล่อยให้พวกนั้นทำผิดกฎหมายไทยโดยไม่ห้ามปราม คุณเป็นคนไทยรึเปล่า”
ขอฝากหน่อยนะ เพราะคนไทยเองก็ไม่เครรพกฎหมายเป็นตัวอย่างให้คนชาติอื่น คนอื่นเลยคิดว่าไม่เห็นจะแคร์
ส่วนคนที่ถูกละเมิดทำไมเราไม่ทวงสิทธิ์ของเรา เราควรมีอากาศดีๆให้หายใจไม่ใช่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง
และน่าจะมีการแก้ไขกฎหมายให้เป็นคดีอาญาหนักๆหน่อย ไม่ใช่ปรับแค่ 200 บาท
ที่จริงมันควรเป็นคดีทำร้ายร่างกาย ถึงแม้ ณ ตอนนั้นจะไม่ได้เจ็บตัว แต่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งก็สูงขึ้น ยังไม่นับการระคายเคืองทางเดินหายใจนะ
ทุกคนคิดว่างัย
ผลงานอื่นๆ ของ คุณตั้งใจ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ คุณตั้งใจ
ความคิดเห็น